บาบ๋าภูเก็ต: ตัวตนที่แตกต่าง (3)

บาบ๋าภูเก็ต ตัวตนที่แตกต่าง (3)

การแต่งกายถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งชาวบาบ๋าภูเก็ตมีรูปแบบการแต่งกายที่ทั้งเหมือนและต่างจากชาวเพอรานากันทั่วไป กล่าวคือ นอกจากผ้าปาเต๊ะที่มีลวดลายงดงามอันเป็นเอกลักษณ์แห่งชนชาวพื้นเมืองและ ผ้าลูกไม้ ผ้าฝ้าย              ผ้าป่านรูเบีย และผ้ามัสลิน ถือเป็นตัวชูโรงหลักในการสร้างคุณค่าความงามของเสื้อผ้าสตรีบาบ๋าทั่วไปแล้ว  ชาวบาบ๋าภูเก็ตยังมีรูปแบบการแต่งกายเฉพาะตัวที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเองอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้วการแต่งกายของหญิงสาวเพอรานากันหรือย่าหยามีรูปแบบผสมผสานระหว่างชาวพื้นเมืองคือการนุ่งโสร่ง ส่วนแบบเสื้อนั้นมีทั้งครุยยาว  ครุยท่อน เสื้อมือจีบ เสื้อย่าหยาอันประกอบไปด้วย เคบายาลินดา เคบายาบีกูและเคบายาซูแลม

สำหรับบาบ๋าภูเก็ตนั้นมีวิวัฒนาการการแต่งกายอย่างสอดคล้องกับการรับวัฒนธรรมเพอรานากันอื่นๆไม่ว่าจะเป็นสำรับอาหาร ที่อยู่อาศัย ประเพณีต่างๆ  ซึ่งภาพสะท้อนของวิวัฒนาการการแต่งกายของสตรีบาบ๋าภูเก็ตที่น่าสนใจได้แบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ  ดังนี้

1. ประมาณพ.ศ. 2443-2463

เสื้อครุยยาว  ในช่วงแรกนี้สตรีบาบ๋าภูเก็ตรับรูปแบบการแต่งกายโดยสวมผ้าโสร่งปาเต๊ะกับเสื้อครุยยาว  มีลักษณะเป็นเสื้อคลุมยาวครึ่งน่อง  ผ่าหน้า  แขนยาวตรงแต่ปลายแขนสอบเล็กน้อย  คอเป็นรูปตัววี  ซึ่งเป็นแฟชั่นการแต่งกายที่ถือว่าสวยงามและหรูหรา  โดยผู้หญิงที่สวมเสื้อครุยยาวนี้ต้องเกล้ามวยชักอีโบยหรือมวยรวบตึงและประดับตกแต่งศีรษะด้วยดอกไม้ไหวหรือปิ่นปักผม  ซึ่งส่วนใหญ่การสวมเสื้อครุยยาวมักสวมใส่อย่างทางการอีกทั้งยังเป็นชุดสำหรับเจ้าสาวด้วย

การสวมเสื้อครุยยาวของสตรีบาบ๋าภูเก็ต

 

การสวมเสื้อครุยยาวของเจ้าสาว

เสื้อครุยท่อน  นอกจากเสื้อครุยยาวที่มีความยาวคลุมเข่าแล้วยังมีครุยท่อนหรือครุยสั้นซึ่งมีความยาวเพียงคลุมสะโพกเท่านั้น  แต่ลักษณะการสวมใส่ยังคงเหมือนกับครุยยาว  กล่าวคือ  สวมเสื้อตัวในที่มีลักษณะคอตั้งแขนจีบ  นุ่งโสร่งปาเต๊ะ  แล้วสวมเสื้อครุยอีกชั้นหนึ่ง

การสวมเสื้อครุยยาวและครุยท่อนในงานพิธี

 

เสื้อมือจีบ  มีลักษณะเหมือนกับเสื้อตัวในหากแต่ต่างกันตรงที่เสื้อตัวในนั้นมักสวมเฉพาะสีขาว  แต่เสื้อมือจีบสามารสวมใส่ได้หลากสีและอาจตัดเย็บจากผ้าหลายชนิดทั้ง  ผ้าป่าน  ผ้าฝ้าย  ผ้าปักดอกเล็ก

2. พ.ศ. 2463-2473

เคบายาลินดา  ในช่วงนี้สตรีบาบ๋านิยมสวมเสื้อเคบายาลินดาซึ่งเป็นเสื้อแบบไม่มีสาบสำหรับติดกระดุม  นิยมตัดเย็บด้วยผ้าป่านรูเบียหรือผ้าหนาลายดอกชนิดอื่น  ประดับสาบเสื้อและริมสะโพกด้วยลูกไม้

3. พ.ศ. 2473-2483

เคบายาบีกู  เป็นช่วงที่แฟชั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นเสื้อเคบาบาบีกูที่มีการฉลุลายตรงสาบเสื้อและชายเสื้อ

4. พ.ศ. 2483-2500

เคบายาซูแลม  เสื้อเคบายาซูแลมนั้นมีรูปแบบไม่ต่างจากเคบายาบีกูหากแต่การฉลุลายนั้นมีสีสันทำให้ดูสวยงามมากขึ้น

ตัวอย่างเสื้อเคบายา (ภาพจากwww.phuketindex.com)

 

นอกจากวิวัฒนาการที่กล่าวไปแล้วนั้นยังมีชุดลำลองอันเป็นที่นิยมของสตรีบาบ๋าซึ่งถือได้ว่าเป็นชุดที่มีความเป็นชาวจีนมากกว่าลักษณะผสมผสาน  ชุดที่ได้รับความนิยมก็คือชุดเซี่ยงไฮ้ข่อ  ชุดตึ่งผ่าว(กี่เพ้ายาว)และเต่ผ่าว(กี่เพ้าสั้น)

ไม่เพียงแค่การรับเอาวัฒนธรรมการแต่งกายมาจากสตรีเพอรานากันในแถบช่องแคบหากบาบ๋าชาวภูเก็ตก็ยังได้นำมาประยุกเข้ากับสังคมไทยอีกด้วย  นั่นคือการนำเสื้อสามส่วนและเสื้อแขนกุดมาประยุกต์ใส่กับผ้าโสร่งได้อย่างงดงามลงตัวและแสดงเอกลักษณ์ของตนได้เป็นอย่างดี

คุณค่าแห่งวัฒนธรรมที่สอดผสานกันอย่างกลมกลืนได้รับการกลั่นกรองผ่านวันเวลาอันยาวนานกระทั่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  แม้ทุกวันนี้การแต่งกายของสตรีบาบ๋าภูเก็ตที่งดงามแบบดั้งเดิมอาจเกิดขึ้นเฉพาะกิจเท่านั้น  แต่ความงดงามที่แท้ย่อมฉายแสงแห่งคุณค่าออกมาเสมอแม้รูปลักษณ์ภายนอกอาจเปลี่ยนไปตามกาลก็ตาม

 

เอกสารอ้างอิง

ฤดี  ภูมิถาวร.(มปป.). การแต่งกายผู้หญิงบาบ๋าภูเก็ต. (มปป.). ยะลา : สมาคมเพอรานากัน  ภูเก็ต